วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

ลิขิตเทวะ ตอนที่ 24





เมื่อคนเราจะเชื่อใจกันได้ต้องไม่มีความลับต่อกัน
ยิ่งผูกพันกันแค่ไหน ยิ่งต้องเปิดใจคุยกันให้มาก
เพื่อมิตรภาพและความสัมพันธ์นั้น


สุวรรณราชกังวลกับศึกที่ทิวากาญจน์จัดการ
กลัวว่าจะได้อย่างเสียอย่าง
สุวรรณราชจึงมาบอกลูกชายของตน
ให้ระวังตัวดีๆ

สุวรรณราชมีความลับบางอย่างบอกกับทิวากาญจน์
เป็นความลับที่เก็บมานาน
สุวรรณราชบอกว่าทิวากาญจน์มีพี่ชายอีกสองคน
ที่เกิดจากตนกับกนกมาศ
แม้แต่กนกมาศเองก็ไม่รู้
สุวรรณราชจึงอยากให้ทิวากาญจน์รู้ไว้ว่า
นรกาฬ คือ นิลกาญจน์ พี่ชายของเขา
และมีอีกคน วุธากาญจน์
ซึ่งหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ทิวากาญจน์ ถึงกับอึ้ง แทบพูดไม่ออก
ความลับนี้อยู่ใกล้ๆตัว
แต่กลับโดนปิดบังมาตลอด
ทิวากาญจน์รู้สึกนึกเกลียดสุวรรณราชขึ้นมาทันที
สุวรรณราชเองก็รู้สึกผิดที่ต้องปิดบังทุกคน
แต่สุวรรณราชไม่อยากให้คนอื่นรู้ความลับนี้
จึงอย่างให้ทิวากาญจน์เก็บไว้ต่อไป
ทิวากาญจน์ต่อว่าพ่อของตน
สุวรรณราชเดินออกมาอย่างเศร้า

ทิวากาญจน์กลับมาคิด
เรื่องที่พ่อของตนบอก
นรกาฬ คือ นิลกาญจน์
แล้ว วุธากาญจน์คือ ใคร
....
ทันใด
ภาพๆหนึ่งวิ่งเข้ามาในหัวของทิวากาญจน์
"ศรา"
ทิวากาญจน์คิดว่าต้องใช่แน่ๆ
เพราะศราเป็นลูกเลี้ยงของหญิงหม้าย
และยังมีเค้าโครงใบหน้าที่คล้ายกับตน

ความคิดนั้น
ทำให้ทิวากาญจน์รู้สึกผูกพันกับศรามากขึ้น
และรู้สึกห่วงใยนรกาฬพี่ชายคนโตของตน

คงอาจเป็นเพราะพ่อของตน
ปล่อยทิ้งนิลกาญจน์ไปอย่างไม่ใยดี
อาจเป็นเพราะพ่อของตน
ไม่อยากมีภาระกับลูกชายหลายคน
ทำให้ทิวากาญจน์รู้สึกโกรธสุวรรณราชไปด้วย
และทิวากาญจน์ยังต้องปกปิดความลับนั้นไว้คนเดียวอีก

ริมชายหาด
ที่ค่ายทหารของนรกาฬ
นรกาฬยังคงตระเตรียมพร้อมกองทัพของตน
เมื่อตรวจเช็คความพร้อมจนพอใจ
ก็เดินไปหาอัคนีที่อยู่ท้ายค่าย

ด้วยรังสีความร้อนของอัคนี
ทำให้นรกาฬไม่อาจเข้าใกล้ตัวอัคนีได้
ไม่อย่างนั้นคงได้เป็นเหมือนซากต้นไม้ที่กองอยู่รอบๆ
และนรกาฬก็ปรึกษาเรื่องบุกยึดกาจน์นคร
อัคนีตอบว่า
จะจัดการเอง ไม่ต้องมายุ่ง
ให้รอชื่นชมกับความสำเร็จ
อัคนีก็เดินจากนรกาฬไปดื้อๆ
ทิ้งเอานรกาฬฉุนกับคำพูดของอัคนี

เภตราที่นับวันก็ยิ่งใกล้ชิดกับจันทรามากขึ้น
เหมือนกับจะเป็นคู่รักกัน
หลังจากเหตุการณ์ร้ายๆที่ผ่านมา
มีเหตุการณ์บางอย่างทำให้ความรู้สึกเดิมๆที่หายไป
กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ทำให้เภตรานึกคิดได้ว่า
ตนเคยรู้สึกดีกับจันทรา
จึงพยายามที่จะคุยกับจันทราตรงๆ
แต่ยังหาโอกาสที่จะบอกไม่ได้
เพราะยังกังวลถึงความเป็นมิตรภาพของพวกเขา

ฟ้าระดา และอีรอสที่ออกไปสำรวจนอกเมือง
ก็กลับมาเล่าเหตุการณ์ให้ทิวากาญจน์ฟัง
อีรอสสงสัยว่าใครคือคนไฟลุก
ที่อยู่ในกองทหารนั่น
ฟ้าระดาก็บอกว่า
อาจจะเป็นคนที่ทำระเบิดหลังเมือง
เมื่อตอนหลายเดือนก่อนก็เป็นได้

ทิวากาจน์ที่เจอเหตุการณ์สะเทือนใจมา
ก็ยังไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้
ทำให้ฟ้าระดา และอีรอสเป็นห่วง
กลัวว่าพลังจากลูกปัดอาจทำให้ทิวากาญจน์เพลีย
ทิวากาญจน์บอกไม่เป็นอะไร
แต่สีหน้า ท่าทางบ่งบอกว่าเป็น
ฟ้าระดาจึงพาทิวากาญจน์ไปนอนพัก

ศราที่กำลังคุยเรื่องพลังจากลูกปัดกับจันทรา
เกี่ยวกับการดึงพลังจากลูกปัดมาใช้
ทำให้ศราและจันทราสนใจในเรื่องนี้จนคุยถูกคอกัน
ศรามีลูกปัดมารุต จันทราก็มีลูกปัดธารา
ทั้งสองคนจึงคิดหาวิธีที่จะดึงพลังออกมาใช้

พอดีที่อีรอสเข้ามาหาจันทราและศรา
อีรอสรู้สึกถึงความหวังในการควบคุมพลัง
ทำให้สภาพของอีรอสกลับมาเป็นปกติ
ทั้งศรา และจันทราดีใจมากที่อีรอสกลับมาเป็นปกติ
ศราจึงถามถึงวิธีการควบคุมพลัง
อีรอสก็บอกได้แค่ว่า
"ความหวัง"
มีเพียงคำเดียวที่แล่นอยู่ในหัวอีรอส

เภตราที่อยู่ข้างนอกได้ยินเพื่อนทั้งสามคุยกัน
ก็น้อยเกิดน้อยใจขึ้นมา
ที่ตนเองไม่ได้มีพลังอะไรมากมายเหมือนเพื่อน
แล้วเภตราก็เดินออกไปสูดอากาศภายนอกวังคนเดียว

ศรา จันทรา อีรอส ทั้งสามคน
เดินออกมายังท้ายเมืองเพื่อฝึกควบคุมพลังของตน
ศราทดสอบพลังของตนเอง
ด้วยการเรียกลมพายุมา
เมื่อมีลมแผ่วๆมา ก็ทวีความรุนแรงขึ้น
และไม่มีท่าทีว่าจะหายไป
อีรอสกังวลว่าจะเกิดอันตรายจึงบอกให้ศราหยุด
แต่ศราหยุดพลังของตัวเองไม่ได้
เพราะพลังของศราไม่ใช่ "ความหวัง"

อีรอสจึงใช่พลังของตนบินทวนกระแสพายุ
จนพายุนั้นสงบลงไปเอง
ศรารู้สึกผิดที่ทำให้เพื่อนเกือบเป็นอันตราย
แต่อีรอสก็ให้กำลังใจศราว่าต้องทำได้เหมือนตนแน่

คราวนี้ก็ถึงตาของจันทรา
จันทราเรียกพลังของตนออกมาแต่ไม่ยักกะเห็นผล
จันทราก็ลองนึกถึงความหวัง ก็ยังไม่เกิดผล
จันทราลองนึกถึงการต่อสู้ก็ไม่เป็นผล
ลองแล้วลองเล่า จนเกิดการท้อใจ
จันทรานึกคิดไปว่าพลังของตนอาจไม่ได้มาเพื่อต่อสู้
แต่ได้มาเพื่อทำสิ่งอื่นแทน
"ความหวัง" จึงไม่ใช่ขุมพลังของจันทรา

อีรอสยังคงให้ความหวังเพื่อนๆ
และหวังว่าเพื่อนๆของตนจะค้นพบขุมพลังที่แท้จริงได้
แล้วทั้งสามคนก็เดินกลับเข้าเมือง
เป็นจังหวะเดียวที่เภตราเดินเข้าเมือง

เภตราที่เห็นทั้งสามคนเดินมา
ก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนแปลกหน้ากับเพื่อน
แต่จันทราจับพิรุธของเภตราได้
ทำให้เภตราระบายอารมณ์ออกมาที่นั้น
ว่าตัวเองเป็นคนไม่มีพลังจากลูกปัด
จะมาสนใจไปเพื่ออะไร

ศราฉุนขึ้นมา
ซัดเปรี้ยงเข้าที่แก้มซ้ายเภตรา
เภตราตัดพ้อไปอีก
ถ้าจะมีพลังจากลูกปัดแบบนี้ไม่ขอมีล่ะ
ศรารู้สึกผิดที่ปล่อยอารมณ์เตลิดไปไกล
ส่วนอีรอสก็เข้ามาปลอบเภตรา
ถึงจะไม่มีพลังจากลูกปัด
แต่เภตราก็มีมนต์เรียกเรือได้
และยังมีความรู้ยารักษาโรคได้
เภตราจึงเข้าใจในความหวังดีของดีรอส
และคิดว่าอีรอสเป็นที่พึ่งได้เสมอ

อีรอสจึงพาเภตรากลับห้องพัก
ส่วนจันทราก็พาศรากลับห้องพักเช่นกัน

หลังจากที่จันทรามาส่งศราที่ห้องพักเสร็จ
แล้วเดินจากไป
ก็มีนางวังคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพักศรา
ศราที่กำลังเปลี่ยนชุดในสภาพเปลือยทั้งตัว
ก็สะดุ้งตกใจหยิบผ้ามาคลุมตัวไว้

นางวังคนนั้นพูดกับศรา
"เจ้าจะปิดไปก็ไม่เป็นไร
ข้าเคยเห็นเจ้าตั้งแต่เด็ก
เลี้ยงเจ้ามากับมือ ข้าไม่ขอดูหรอก"
พร้อมกับยิ้มเบาๆเหมือนแม่หยอกลูก
นางวังบอกว่าตัวเองคือ วิญญาณแม่เลี้ยงของศรา
ศรายังไม่เชื่อคำพูดของนางวัง
จนกระทั่งนางวังบอกถึงจดหมายก่อนหญิงหม้ายจะตาย

ศราจึงรู้ว่านางวังนั้นคือ แม่เลี้ยงของตน
ศราจึงถามคำถาม สารพัด
ส่วนหญิงหม้ายยินดีที่จะบอกความลับทุกอย่าง
ด้วยเวลาที่เหลือไม่มาก
หญิงหม้ายรีบจึงบอกศรา
"คนที่ฆ่าแม่ คือ คนที่เจ้าเคยพบ
คนที่จะมาฆ่าเจ้า ก็คือ คนที่เจ้าเคยพบ
และเจ้ามีพี่ชายที่ต้องฆ่า มีน้องชายที่ต้องปกป้อง เขาคือ...."
วิญญาณของหญิงหม้ายหลุดลอยออกจากร่างนางวัง
และสลายไปในอากาศ

นางวังที่เพิ่งคืนสติ
เห็นว่าตัวเองอยู่ในห้องศราที่กำลังเปลือย
นางกล่าวขอโทษและวิ่งออกไปอย่าง งงๆ

ศราเองก็มาเรียบเรียงความคิด
พยายามปะติดปะต่อเรื่องราว
ศรารู้แต่เพียงว่า
คนที่มีความอาฆาตกับตนก็แค่ไม่กี่คน
"อัคนี" "ดารา"
ศราคิดหนักมาทั้งวัน
ก็ปล่อยให้มันเลยตามเลย
ยิ่งคิดศราก็ยิ่งหาทางไปต่อไม่ได้

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น