วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558

พลิกตำนาน ปลาบู่ทอง

พลิกตำนาน ปลาบู่ทอง

ในที่นี้มิได้บังอาจลบหลู่ ล่วงเกินหรือมิดีมิร้ายแต่อย่างใด
เพียงเพื่อสนองความบันเทิงเท่านั้น

" ตำนานใด ไหนเล่า ล้วนเป็นเท็จ
สูตรสำเร็จ จริงแจ้ง แถลงไข
ตามกล่าวอ้าง จริงแท้ เป็นเช่นไร
ท่านจงได้ ติดตามอ่าน ให้เห็นจริง "

เครดิตภาพ : ภาพ
เครดิตไรท์เตอร์ : ARET

ยังไม่ได้ตรวจทานต้นฉบับ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
--------------------------------------------------------------

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว

ในเมืองพาราณสี มีเศรษฐีอยู่คนหนึ่งชื่อ เศรษฐีทอง แกเป็นคนแก่หงำเหงือกจนเกือบจะทำมาหากินอะไรไม่ได้ เพียงแต่แกอาศัยเงินทองของพ่อแม่ แต่แกยังมีเมียถึงสองคนเชียวนะ

คนแรกหน่ะงามมาก นิสัยใจคอเป็นแม่พระมาโปรดเลย ชื่อ ขนิษฐา มีลูกชายอยู่หนึ่งคน ชื่อ อ้าย กิตติศัพท์ความหล่อล่ำของอ้ายนี่ขจรขจายไปเจ็ดแปดคุ้งแม่น้ำ

ส่วนเมียคนที่สอง เป็นน้องสาวแท้ๆของเมียคนแรก ปากว่าตาถึง วันๆไม่ทำการทำงาน เอาแต่ผลาญทรัพย์ผัว ใช้งานนางขนิษฐาทำงานบ้านทุกอย่าง โขกสับสารพัด เมียคนที่สองนี้ชื่อ ขนิษฐี มีลูกสาวสองคน ชื่อ เอื้อยกับอี่
เอื้อยเป็นสาวที่รักสวยรักงามเหมือนแม่ และมีนิสัยเหมือนแม่
อี่เป็นลูกสาวสุดหวงของนางขนิษฐี เวลาไปไหนมาไหนต้องหิ้วไปด้วยตลอด

วันหนึ่งเศรษฐีทอง เกิดอยากกินปลาขึ้นมา จึงชวนนางขนิษฐาไปหาปลาด้วยกันสองคนที่แม่น้ำ

เศรษฐีทองหว่านแหไปได้ปลาบู่ทองมา หนึ่งตัว หลังจากที่จับปลาทั้งวันได้แค่ปลาบู่ทองตัวนั้น เศรษฐีทองจึงคิดจะเอาไปทำแกงกะหรี่ปลาบู่กิน

ด้านนางขนิษฐาเห็นแก่ปลาบู่ที่แก่จวนเจียนจะตาย จึงยื้อแย่งจากเศรษฐีทอง ปล่อยคืนแม่น้ำได้สำเร็จ ปลาบู่ตัวนั้นจึงว่ายน้ำหนีไปในทันที

เศรษฐีทองโกรธนางขนิษฐามาก คว้าได้แหก็เอาแหนั้นพันรอบตัวนางขนิษฐา แล้วเอาไม้พายเรือนั้นตีๆๆ อย่างรุนแรงจนนางขนิษฐาทนพิษบาดแผลไม่ไหว สิ้นลมหายใจไปในที่สุด และเศรษฐีทองก็ทิ้งศพนางขนิษฐาลงในแม่น้ำนั้น

เมื่อเศรษฐีทองพายเรือกลับจวน ปลาบู่ทองที่นางขนิษฐาช่วยไว้มาลากศพนางขนิษฐาออกไป ทำให้วิญญาณนางขนิษฐาเข้าสิงสู่ร่างปลาบู่ทองนั้น

เศรษฐีทองกลับมาถึงบ้านก็ร่ำร้องไห้พลางเสียดาย อ้ายจึงถามหาแม่ขนิษฐา เศรษฐีทองจึงตอบไปว่า นางขนิษฐานั้นหนีตามผัวใหม่ไปแล้ว อ้ายที่ได้ยินคำนั้นก็สะอื้นร่ำไห้

นางขนิษฐีเห็นว่าคู่แข่งของตนหมดไป จึงคิดจะรวบรัดตัดตอนเศรษฐีทองให้เร็วที่สุด แล้วคืนหนึ่งก็มาถึงเมื่อนางขนิษฐีเห็นว่าเศรษฐีทองไม่ได้นอนกับตนนานแล้ว นางขนิษฐีจึงลอบเข้าห้องนอนของผัวตน ด้านเศรษฐีทองก็คิดว่านางขนิษฐีเป็นนางขนิษฐา ด้วยแรงราคะทำให้เศรษฐีทองหัวใจวายตาย ซึ่งเป็นไปดั่งใจนางร้ายตัวแม่

พอถึงรุ่งเช้านางจัดแจงศพเศรษฐีทองอย่างสมฐานะ โดยให้อ้ายเป็นคนทำงานบ้านทั้งทำอาหาร จัดสถานที่ เพื่อต้อนรับแขกเหรื่อที่มางานศพเศรษฐีทอง จนกระทั่งเสร็จงาน

อ้ายที่ถูกใช้งานจนเหนื่อยล้า ก็หวนคิดถึงแม่ขนิษฐา จึงเดินดุ่มๆมายังท่าน้ำ พูดคุยกับสายน้ำ จนรู้ว่าแม่ของตนคือ ปลาบู่ทองและรู้เรื่องราวทั้งหมด อ้ายจึงคิดวิธีแก้แค้น โดยไม่บอกให้แม่ปลาบู่ทองทราบ

แผนของอ้ายเริ่มขึ้นทันทีหลังจากเสร็จงานศพของเศรษฐีทอง ในคืนนั้น อ้ายแอบลอบเข้าไปในห้องเอื้อยเงียบๆ ไม่ให้เอื้อยรู้ตัว เอื้อยเองก็เป็นคนที่นอนขี้เซามาก ก็ไม่มีท่าทีจะตื่นแต่อย่างใด อ้ายจึงจัดการขึงพืดเอื้อยและเอาผ้าปิดปากเอื้อย ทำให้เอื้อยตื่น แต่ไม่ว่าเอื้อยจะตะโกนร้องสุดเสียงแค่ไหนก็ไม่มีใครได้ยิน อ้ายจึงจัดการข่มขืนเอื้อยตามความต้องการของผู้ชายทั่วไป

เหมือนราวกับว่าเอื้อยเธอจะเต็มใจกับบทรักที่อ้ายมอบให้ แต่ไม่เลย เธอดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อให้หลุดจากราคะของอ้าย แต่ก็ไม่พ้น จนกระทั่งเสร็จกิจกามของอ้าย เอื้อยก็สลบไสลไปเพราะทนอารมณ์ของอ้ายไม่ไหว หลังจากนั้นอ้ายก็หนีกลับห้องตัวเอง ทิ้งให้เอื้อยอยู่ในสภาพเช่นนั้นจนเช้า ไม่กล้าบอกเรื่องราวกับใคร

ตอนเช้านั้นเอง อ้ายทำเป็นเหมือนไม่รู้เรื่องราวอะไร ส่วนเอื้อยเองก็เก็บความอัดอั้นใจไว้ รอเวลาแก้แค้นอ้าย

จนเมื่ออ้ายเดินไปหาแม่ปลาบู่ทองที่ริมท่าน้ำที่เดิม เอื้อยก็แอบสะกดรอยตามหลังมาติดๆ จึงรู้ว่า อ้ายนั้นมาคุยอยู่กับแม่ของอ้ายที่เป็นปลาบู่ทองนี่เอง

เมื่ออ้ายเดินกลับจวนไป เอื้อยก็จัดการจับปลาบู่ทองตัวนั้นมาผัดผงกะหรี่ด้วยฝีมือตัวเอง

เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ เอื้อยก็ชวนอ้ายมากินข้าว ซึ่งแปลกมาก เพราะทุกวันอ้ายจะเป็นคนทำกับข้าวเอง อ้ายเองก็ไม่ได้สงสัยอะไร จึงก้มหน้าก้มตากินๆไป จนกระทั่งอ้ายถามว่านี่เมนูอะไร เอื้อยก็ตอบชัดถ้อยชัดคำเลยว่าเป็นผัดผงกะหรี่ปลาบู่ทองจ้า อ้ายสะดุ้งโหยง ลุกขึ้นฟาดจานข้าวลงสำรับอาหารนั่น แล้วรีบเดินจ้ำอ้าวไปยังห้องครัว พลางร่ำไห้ไป

อ้ายเจอเกล็ดปลาบู่ที่เอื้อยขอดไว้ ยังไม่ได้ทิ้งอ้ายจึงเอาเกล็ดปลานั้นไปปลูกไว้ที่สวนท้ายจวน และรอคอยวันแก้แค้นเอื้อย

นานๆวันผ่านไป อ้ายที่เฝ้ารดน้ำเกล็ดปลานั่น ก็เติบโตเป็นต้นมะเขือ อ้ายดีใจมากที่ได้เจอแม่อีกครั้ง ทำให้อ้ายมีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อมากขึ้น

วันหนึ่งอ้ายวางแผนจะเข้าไปข่มขืนเอื้อยอีก จึงใส่ยานอนหลับลงในอาหารของทุกคน แผนของอ้ายจึงดำเนินต่อไปในคืนนั้นเอง อ้ายก็ทำเหมือนครั้งก่อนที่เข้ามาในห้องเอื้อย แล้วก็จัดการกับเรือนร่างของเอื้อยต่อไปจนเสร็จภารกิจ

เช้าวันถัดมา เอื้อยตื่นมาพร้อมกับกรีดร้องโวยวาย ทำให้นางขนิษฐีต้องเข้ามาดูเอื้อย และปลดพันธนาการให้เอื้อย นางขนิษฐีพยายามเค้นว่าใครทำ แต่เอื้อยไม่ยอมบอก ด้วยที่ว่าเอื้อยจะจัดการเอง

ในเช้าวันนั้น อ้ายระมัดระวังเป็นพิเศษว่าจะมีใครตามมา เอื้อยเองก็ไม่ได้ออกสะกดรอยตามเช่นเมื่อก่อน หลังจากที่อ้ายกลับมาจากสวนพร้อมผักต่างๆที่จะทำเป็นมื้อกลางวัน เมื่อเอื้อยเข้าไปตรวจเช็คในครัวก็รีบเดินไปยังสวนท้ายจวน
พบต้นมะเขืองามเด่นเป็นสง่า แต่กลับมีลูกมะเขืออยู่เต็มต้น ไฉนอ้ายจึงไม่เอาไปทำอาหารกิน เอื้อยจึงคิดว่านี่คงเป็นแม่ของอ้ายเป็นแน่ เอื้อยจึงจัดการถอนรากถอนโคน และเอาลูกมะเขือไปใส่ไว้ในตะกร้าผักของอ้าย

เมื่ออ้ายกลับมาพร้อมจะทำกับข้าวมื้อกลางวัน เมื่อเห็นลูกมะเขือวางอยู่ข้างบนจึงรีบวิ่งไปยังสวนท้ายจวน เอื้อยที่แอบดูก็รู้สึกสะใจเป็นพิเศษ ส่วนอ้ายที่เดินมาถึงสวนท้ายจวน ก็พบต้นมะเขือถูกถอนออกจนแห้งตายไปแล้ว อ้ายจึงร่ำไห้กอดต้นมะเขือ จึงคิดได้ว่าจะเอาเมล็ดมะเขือนั้นไปปลูก พร้อมกับวางแผนแก้แค้นเอื้อยอีกคืน

เมื่ออ้ายเอาเมล็ดมะเขือไปปลูก เมล็ดมะเขือนั้นก็เติบโตในทันทีทันใด อ้ายจึงอธิษฐานไม่ให้ใครมาทำอันตรายต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองนี้ได้

ในคืนนั้นเอง อ้ายวางแผนจะเข้าห้องเอื้อยอีกครั้ง แต่ผิดคาดเอื้อยดันสลับห้องนอนกับอี่ อ้ายเห็นว่าไหนๆก็ไหนๆแล้ว จัดการอี่แทนเอื้อยคงสะใจตัวเองสุดๆแล้ว ในคืนนั้นอี่ยังมีสติครบ เห็นว่าอ้ายกำลังง่วนอยู่กับบทรักของอ้ายก็พยายามร้องขอความช่วยเหลือ แต่ไม่เป็นผลเพราะอ้ายจัดการปิดปากอี่แล้ว ระหว่างที่อ้ายทำกามกิจอยู่นั้น ก็พร่ำว่าเป็นเพราะเอื้อยทำให้อี่ต้องโดนอ้ายทำแบบนี้ อี่ก็ร้องไห้น้ำตาไหลพราก อ้ายจึงอาศัยความอ่อนแอของอี่ แสร้งทำเป็นว่ารักอี่ อี่จึงรักอ้าย และโกรธเอื้อยนับแต่วันนั้น

เช้าวันถัดมา เอื้อยกลับมาห้องตัวเอง เพราะเป็นห่วงอี่ แต่อี่ก็ทำท่าทีหมางเมินใส่เอื้อย เอื้อยก็ไม่คิดอะไรมาก ว่าคงไม่เป็นอย่างที่ตัวเองคิด

ในกลางวันของวันนั้นเองระหว่างที่อ้ายทำกับข้าวเสร็จ อี่อาสายกสำรับกับข้าวออกไปให้แม่กับพี่ของอี่กิน โดยใส่ยาพิษลงในอาหาร และบอกให้อ้ายไปตักน้ำมาก่อนเพราะไม่มีน้ำกินแล้ว ซึ่งทั้งหมดเป็นแผนของอี่ ที่ต้องการแก้แค้นเอื้อย ไหนๆก็ไหนๆ ก็เลยวางแผนฆ่าแม่ตัวเองซะเลยที่กดขี่ตัวเองมานานล่ะ

เมื่อเอื้อยกะนางขนิษฐีกลืนข้าวไปไม่กี่คำ นางทั้งสองก็ล้มตึงหัวกระแทกพื้น อี่จึงเปลี่ยนสำรับกับข้าวใหม่ ทิ้งให้เอื้อยและนางขนิษฐีนอนแน่นิ่งอยู่เช่นนั้น ส่วนตัวอี่เองก็มานั่งทานข้าวรออ้าย

เมื่ออ้ายมาถึงชานจวน อี่ก็แสร้งทำเป็นร้องห่มร้องไห้ กอดศพพี่กับแม่ ทำให้อ้ายนึกสงสัยต่างๆนานา แต่อ้ายก็เห็นว่าดีแล้วที่นางตัวร้ายสองคนหมดไป อ้ายกับอี่จึงจัดการเผาเอื้อยกับนางขนิษฐีโดยไม่มีพิธีรีตองอะไรทั้งสิ้น

จากวันนั้น อ้ายก็อยู่กับอี่อย่างหวาดระแวงกลัวว่าอี่จะฆ่าตนบ้าง แต่เพราะความรักที่อ้ายปรนเปรอให้กับอี่ ทำให้อี่ปรารถนาแรงรักนั้นเป็นอย่างมาก จนวันๆแทบไม่เป็นอันทำมาหากิน และเกือบจะทำให้อ้ายลืมต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองไปเลย

กระทั่งวันหนึ่ง นางหม้ายอดีตเมียพระเจ้าพรหมทัต ออกเดินทางชมบ้านเมือง ก็ดันไปพบต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองนั้นเข้า ด้วยความโลภจึงอยากได้เข้าไปปลูกในวัง และนางหม้ายก็สั่งทหารขุดถอนออกมาก็ไม่เป็นผล

นางหม้ายจึงให้ประกาศหาคนที่ถอนต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองนี้ได้ ตนจะมอบรางวัลให้สมควรแก่ผู้ที่ถอนต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองนี้ได้

อ้ายเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะหนีจากอี่ จึงอาสากับพวกทหารไปเป็นผู้ขุดต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทอง เมื่อนางหม้ายได้เห็นหุ่นล่ำๆของอ้ายก็ทำให้นางหลงใหลอยากได้มาเป็นผัวแทนพระเจ้าพรหมทัตจนตัวสั่น ยิ่งอ้ายถอนต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองนี้ได้ นางหม้ายก็เข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงอ้าย และรับตัวอ้ายเข้าวัง ไปอภิเษกสมรสในทันที

เมื่ออี่กลับมาถึงจวน ไม่พบสามีตน จึงเที่ยวถามชาวบ้านได้ความว่า นางหม้ายมารับเอาตัวอ้ายไปเป็นผัว อี่ก็รีบเดินทางเข้าไปในวัง พยายามขัดขวางงานแต่งของอ้าย จนกระทั่งอี่มาถึงหน้าพิธีมงคลอภิเษกสมรส อี่จึงต่อว่านางหม้ายเสียๆหายๆว่าไปแย่งผัวชาวบ้านมา

อ้ายจึงออกหน้าแทนว่าอี่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตัวเองเลย อี่ต่างๆหากที่เป็นคนมโนไปเองว่าอ้ายเป็นผัวของอี่

ความรักของอี่ที่มอบให้อ้ายขาดสะบั้นทันทีที่อ้ายโต้ตอบกับอี่เช่นนี้ อี่เห็นว่าไหนๆอ้ายก็ยินดีจะไปเป็นผัวคนอื่นโดยไม่สนอี่แล้ว  อี่จึงสาปแช่งให้เพลงรักของอ้ายและนางหม้ายนั้นทำให้ทั้งสองถึงความตายด้วยกันทั้งคู่ จากนั้นอี่ก็วิ่งไปคว้าดาบจากนายประตูท้องพระโรง พร้อมตัดศีรษะตัวเองขาดจากบ่าในฉับเดียว เลือดสาดทั่วประตูหน้า

อ้ายกลัวว่าคำสาปของอี่จะเป็นจริง ก็สั่นสะท้าน นางหม้ายเองก็หวั่นๆไหวๆอยู่บ้างแต่นางไม่สนคำครหา หรือคำนินทาใดๆ เพราะนางหม้ายได้ชายหนุ่มรูปงาม ร่างล่ำสันทัด

นางหม้ายก็บอกให้ข้าราชบริพารดำเนินพิธีอภิเษกสมรสต่อไป หลังเสร็จพิธี นางหม้ายก็ลากเอาตัวอ้ายไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงที่เตียงนอนนุ่มๆเหมือนชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำนองเตียง อ้ายก็คิดจะตอบโต้พลังกับนางหม้าย จึงตอบกลับไปพัลวัน ร่งของอ้ายและนางหม้ายแทบจะเหมือนงูที่รัดกันก็มิปาน เพลงรักที่กำลังดำเนินไปอย่างเพลินเพลินอารมณ์สองเรือนร่าง ก็พลันหยุดชะงักไปดื้อๆ เพราะทั้งสองหัวใจวายตายในทันที

ผ่านไปหนึ่งวัน นางในก็เข้ามาในห้องของนางหม้ายก็พบกับร่างอันเปลือยเปล่าของนางหม้ายและอ้าย สองคนนั้นนอนแผ่หลาอยู่บนเตียง นางในก็เรียกทหารเข้ามาจัดการพระศพของทั้งสองพระองค์

โดยเอาพระศพทั้งสองไปเผาข้างๆต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทอง เมื่อต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองเห็นร่างลูกชายนอนแน่นิ่งให้ทหารจุดไฟเผา ต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทองนั้นก็ค่อยๆเหี่ยวเฉา และแห้งตายไปในที่สุด

และเป็นอันปิดฉากตำนาน ปลาบู่ทอง ในที่สุด


--------------------------------------------------------------


เรื่องราวใดๆข้างต้นเป็นเพียงความบันเทิงเท่านั้น
มิใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น