วันเสาร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2558

ลิขิตเทวะ ตอนที่ 21


เรือสำเภาที่ลอยมาไกลจากหาดบุปผา
เรือที่โคลงเคลงไปตามคลื่นทะเล

ทุกคนในเรือต่างเหนื่อยล้าจนเผลอหลับตามๆกันไป
เรือใบในขณะนี้ไร้กัปตันบังคับใบเรือ
อากาศที่สดใส ท้องฟ้าโล่ง ไร้ซึ่งอันตรายใดๆ

ไม่นานนักเรือใบก็ได้มาจอดเทียบท่าเรือ เมืองกาญจน์นคร
นานแล้ว ที่ทิวากาญจน์ 
ไม่ได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนตัวเอง
ผู้โดยสารเรือใบลำนั้น เก็บสัมภาระ
 เดินเท้าตามศรา ไปยังกระท่อมของหญิงหม้าย แม่ของศรา

หญิงหม้ายแก่ชราที่กลับบ้านมาได้ไม่กี่วัน
ก็ได้เจอหน้า ศรา ทำให้นางยิ้มออก
หญิงหม้ายที่ไม่ได้เจอหน้าลูกนานมาก
ก็สวมกวดลูกพูดพลางร้องไห้ไป
เมื่อบทโศกเศร้าได้จบสิ้นลง 
ความดีใจของหญิงหม้ายก็กลับมา

ศราจัดที่พักให้พอดีสำหรับเพื่อนๆ

ด้วยการที่หญิงหม้ายคนนี้ 
อายุอานามก้ปาไปจะร่วมร้อยปีแล้ว
สังขารก็ร่วงโรยตามวัย
แต่หญิงหม้ายกลับแสดงท่าทีเป็นคนวัยกลางคน
กำลังเรี่ยวแรงปกติ 
เพื่อไม่ให้ศราต้องมากังวลกับสุขภาพของตน

ตกกลางคืน ศราก็ไปล่ากวางป่ามาทำอาหารเลี้ยงเพื่อนๆ
ทุกคนล้อมวงรอบกองไฟ 
ที่มีเนื้อกวางย่างอยู่บนนั้น
ส่วนหญิงหม้ายก็เข้านอน 
ปล่อยให้คนหนุ่มสาวได้คุยกัน

ทิวากาญจน์ และศรา
ก็ได้เล่าความเป็นมาของเมือง
และการมาเจอกันของทิวากาญจน์ และศราเอง
เพื่อนๆทั้ง สี่คน เพิ่งจะได้รู้ว่า 
ทิวากาญจน์และศรานั้น 
มีใบหน้าที่คล้ายกันมาก
ถ้าไม่สังเกตคือ 
แยกแยะไม่ออกว่าใครคือทิวากาญจน์ ใครคือศรา
ทุกคนต่างสนุกสนานเฮฮา

ทิวากาญจน์ 
ตัดสินใจจะเข้าเมืองในวันรุ่งขึ้น
จึงชวนเพื่อนๆทั้งห้าคนเข้าวัง 
ไปหาสุวรรณราช และกนกมาศ พ่อแม่ของทิวากาญจน์

พอรุ่งเช้า
ทิวากาญจน์ และเพื่อนๆก็เตรียมพร้อมที่จะเข้าเมือง
แต่ศราบอกให้ทุกคนล่วงหน้าไปก่อน 
ศราขอจัดข้าวของในกระท่อมเสียก่อน
ศรายังจัดเตรียมอาหารไว้ให้แม่ก่อนเข้าเมืองด้วย

ทันทีทีกำลังจะก้าวออกจากกระท่อม
หญิงหม้ายก็ตื่นขึ้นมา
หญิงหม้ายผู้เป็นแม่ กลับเศร้าโศกอีกครั้ง 
เพราะกลัวว่าลูกของตนจะไม่ได้กลับมาอีก
ศราให้คำมั่นสัญญาว่า 
อย่างไรก็ต้องกลับมาอยู่กับแม่แน่นอน
หญิงหม้ายจึงพอคลายโศกได้บ้าง
ทั้งสองสวมกอด ศราก็เดินออกจากกระท่อม
หญิงหม้ายก็ได้แต่มองเงาลูกจนหายลับ

เมื่อศราและเพื่อนๆเข้าวังไปแล้ว
กลับมีนางปีศาจที่เร่ร่อนอยู่นอกเมือง
เมื่อนางปีศาจได้กลิ่นเนื้อมนุษย์
นางปีศาจดาราก็ตรงไปยังเป้าหมายในทันที

นางปีศาจเจอเพียงหญิงหม้ายแก่ๆ 
คนหนึ่งที่นอนอยู่ในกระท่อมเดียวดาย
หญิงหม้ายนั้นก็ชรามากแล้ว 
หากลุกขึ้นสู้ปีศาจสาว อย่างไรเสียก็ต้องพ่าย

ก่อนที่หญิงหม้ายจะสละเลือดเนื้อให้ปีศาจดารา
หญิงหม้ายก็ได้ขอสิ่งหนึ่งกับ ปีศาจตนนั้น
นางปีศาจรบเร้าให้พูดมาให้เสร็จ จะได้รีบกินอาหาร
หญิงหม้ายกำลังจะเอ่ยปาก แต่ความหิวของปีศาจหรือจะสู้ได้
หญิงหม้ายตกเป็นอาหารของปีศาจสาวตนนั้นจนได้
แต่นางปีศาจนั้นกลับไม่รู้ว่า ทันทีที่ตนฆ่าหญิงหม้าย
วิญญาณของหญิงหม้ายก็ได้ซ่อนแผนนางปีศาจ 
ด้วยการขโมยลูกปัดศักดิ์สิทธิ์ไปซ่อนไว้

เมื่อปีศาจดาราอิ่ม
นางก็ทำลายหลักฐาน 
ทั้งเศษเนื้อ คราบเลือด กองกระดูก 
หายไปพริบตาเดียว
แต่นางปีศาจกลับไม่รู้สึกตัวเรื่องลูกปัด

ทันทีที่นางปีศาจจัดการทุกอย่างเรียบร้อย
นางก็เร่งฝีเท้าออกจากระท่อมน้อยๆ
วิญญาณหญิงหม้าย
 ได้รวบรวมพลังทิพย์แรงสุดท้ายสร้างกายหยาบขึ้นมาเพื่อ 
เขียนจดหมายทิ้งไว้ให้ศรา
เมื่อปากกาขนเป็ดถูกยกขึ้นจากกระดาษ 
กายของหญิงหม้ายก็ค่อยๆสลายไป
และหายไป ทิ้งไว้เพียงจดหมายฉบับเดียว 
และถุงลูกปัด

ทิวากาญจน์นำเพื่อนๆเข้าเมือง
ผู้คนในเมืองต่างมองพวกเขาเหมือนคนแปลกถิ่น
แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนใจ ยังคงเดินตามทิวากาญจน์เข้าเมือง
ผ่านพ้นเข้ามาในประตูเมือง 
ทิวากาญจน์ก็เร่งฝีเท้าขึ้นไปยังวังทอง
ด้วยความคิดถึงพ่อแม่

สุวรรณราช กับ กนกมาศที่ชมนกชมไม้ในสวนวังทอง
ได้ยินข่าวว่าทิวากาญจน์ยังไม่ตาย 
ทั้งสองดีใจ รุดรีบมายังห้องรับรอง
ทันทีที่พบหน้ากัน ทั้งสามคน พ่อ แม่ ลูก ก็สวมกอดกัน
หยดน้ำตาของความดีใจก็ไหลออกมา

แต่ใครจะรู้ถึงหัวอก 
ของคนกำพร้าพ่อแม่อย่าง จันทรา และเภตรา
ทั้งสองคนกลับเก็บอารมณ์ไว้ภายใน
เช่นเดียวกับฟ้าระดา 
นางจากบ้านมาอยู่ที่ที่ไม่ใช่โลกของตน
นางต้องห่างจากอกผู้เป็นพ่อแม่ 
มาไกลแสนไกล ไม่รู้ว่าเมื่อไร จะกลับบ้านได้
มีเพียงอีรอส ที่ไม่รู้ว่าตนถือกำเนิดมาอย่างไร 
อีรอสมีเพียงอารมณ์สนุกสนานเท่านั้น

หยดน้ำตาก็เริ่มแห้งหายไป
ความสดใสก็เข้ามาแทนที่
ทิวากาญจน์ แนะนำเพื่อนๆร่วมเดินทาง 
ให้ สุวรรณราช และ กนกมาศ ได้รู้จัก
เมื่อทุกคนรู้จักกันหมดแล้ว
ต่างคนต่างก็แยกย้ายไปพักผ่อน

สุวรรณราชก็ได้จัดงานต้อนรับเล็กๆในวัง
พอถึงเวลาอาหารเย็น
สุวรรณราช ก็ได้เชิญเพื่อนๆของทิวากาญจน์มาร่วมโต๊ะมื้อเย็นด้วย
เสียงเพลงขับกล่อมจากนักดนตรี 
ผสมกับกลิ่นหอมกรุ่นของอาหารมื้อเย็น
ทำให้อาหารมื้อนี้อร่อยเป็นพิเศษ
ทุกคนต่างก็สรวลเฮฮา เบิกบานอารมณ์

แต่ จันทรา เภตรา และฟ้าระดา
กลับมีอารมณ์หมองปนกับรอยยิ้ม 
ที่ไม่เป็นที่สังเกตของใครๆ
มีเพียงอีรอสที่รู้อารมณ์ของพวกเขาสามคน
แต่ทุกอย่างยังคงดำเนินไปจนถึงตอนดึก
ทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน

อีกไม่นานทุกคนก็จะได้เจออุปสรรคอันยิ่งใหญ่
ที่จะกำหนดชะตาชีวิตตัวเอง


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น