วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2558

ลิขิตเทวะ ตอนที่ 20






นักเดินทางทั้งหก 
เดินเรือมาถึง หาดบุปผา
เภตราเรียกมนต์เรือคืน 
ทั้งหมดเดินดิ่งเข้าหาดหมายจะหาที่พัก

ชายหาดที่มีแต่ความว่างเปล่า 
ไร้เสียงของสิ่งมีชีวิตใดๆ
ด้วยความฉลาดของฟ้าระดา 
นางบอกให้ทุกคนระวังตัว 
เพราะมันไม่ปกติที่หาดแห่งนี้จะไร้คน
เพราะดอกไม้ต้นไม้ทุกต้นที่นี่ 
ถูกปลูกมาอย่างดี จะไม่ให้ฝีมือของคนได้อย่างไร

อีรอสจึงใช้มนต์บริสุทธิ์กำกับทุกคนไว้ให้รอดจากอันตราย
จนกระทั่งทั้งหกคนเดินทางมาถึงใจกลางของหาดบุปผา
ความงดงามของสิ่งปลูกสร้างนี้ 
งามราวกับเอาเมืองทั้งเมืองมาหลอมเป็นบ้าน
บ้านที่มีลักษณะทรงกระบอกสูงดั่งประภาคารทะเล

ทั้งหมดเห็นว่าใกล้ค่ำแล้ว 
จึงตั้งที่พักชั่วคราวนอกบ้านปริศนานั่น
อีรอสอาสาออกสำรวจหาดนี้เอง 
อีรอสกางปีกอันขาวผ่องโผบินขึ้นบนฟ้า
เภตราและศราออกหาฟืน น้ำ และอาหาร
ส่วนทิวากาญจน์ก็จัดที่พักกับจันทรา และฟ้าระดา

ทิวากาญจน์สบโอกาสจึงเข้าไปคุยกับจันทรา
ทำให้ฟ้าระดาที่อยู่ใกล้ๆหึงหวงขึ้นมา
จนเผลอพูดสบถออกไป
ทิวากาญจน์ทำท่าเลิ่กๆลั่กๆ อย่างเขินอาย
จนจันทราหัวเราะเบาๆ 
ช่วยเสริมให้ความงดงามของนางมากยิ่งขึ้น
ฟ้าระดาก็หัวเราะตามจันทรา

อีรอสที่ไปสำรวจหาด 
บินกลับมาร่อนลงหน้าที่พัก
บอกว่านี่คือเกาะใหญ่กลางทะเล 
ไม่ใช่แผ่นดินใหญ่เหมือนที่คาดไว้
เภตราและศราที่หาอาหาร หาน้ำ หาฟืน
กลับไม่ได้ฟืนมา อาหารก็มีแต่ผลไม้ป่า
เนื้อสัตว์ก็ไม่มีแม้แต่มดสักตัว
ด้วยทั้งเกาะไม่มีฟืนเลย มีแต่ไม้สดๆจากต้นไม้ 
พอจะตัดต้นไม้ก็ตัดไม่ได้
อาหารก็มีแต่ผลไม้เพราะทั้งเกาะมีแต่ต้นไม้ 
ไม่มีแม้แต่รังของสัตว์ใดเลย

เรื่องน้ำดื่ม 
อีรอสบินสำรวจเจอน้ำจืดที่จะกินได้
อีรอสจึงอาสาไปเอาน้ำดื่มอีกครั้ง
ที่สระน้ำนั่น มีแสงสว่างสะท้อนออกมา
แต่ที่อีรอสเจอคือ 
เงือกกลุ่มใหญ่ทีกำลังเล่นน้ำอยู่อย่างสนุกสนาน

ทันทีที่อีรอสโผล่ออกไป 
เงือกทั้งหลายที่เห็นอีรอสมีปีก 
ก็นึกว่านกยักษ์จะมาจับพวกตนไปกิน
เงือกกลุ่มนั้นก็เลยดำน้ำดิ่งลงไปในก้นสระ
เหลือเพียงแต่ นางเงือกตัวหนึ่ง ที่ไม่ได้ว่ายน้ำหนี
หางของนางถูกหินใหญ่ทับ 
เพราะการเล่นอย่างเพลิดเพลินเมื่อสักครู่
อีรอสจึงเข้าไปยกหินออกเพื่อช่วยนาง

นางเงือกขอบคุณที่อีรอสช่วย
และขอทราบชื่ออีรอส 
และนางเงือกก็บอกชื่อของตนไปว่าชื่อ มีนา
มีนารู้ว่าอีรอสไม่ใช่นกยักษ์
 ด้วยปีกที่ขาวผุดผ่องเช่นนี้คงไม่ใช่สัตว์ธรรมดาแน่
มีนาหลงใหลในความหล่อของอีรอส
อีรอสก็ชอบท่าทางซื่อๆของเงือกมีนา

อีรอสจึงบอกมีนาไปว่า 
ตนมาเอาน้ำดื่มไปให้เพื่อน
มีนาบอกว่า น้ำสระนี้ดื่มไม่ได้ 
เพราะมันเป็นที่อาบน้ำของเงือก
มีนาจึงพาอีรอสไปเอาน้ำที่อื่น

มีนาตะกายขึ้นบนบก
ครีบข้าง หางปลาก็ค่อยๆหายไป
ยิ่งทำให้อีรอสสนใจในตัวมีนามากขึ้น
ทั้งสองคุยกันอย่างถูกคอ หยอกล้อกันไปมา 
เหมือนเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกัน

มีนาพาอีรอสมาเอาน้ำที่สระอีกแห่งหนึ่ง
แล้วเดินไปส่งอีรอส 
แต่สีหน้าของนางเศร้าหลังจากที่จะจากกับอีรอส
อีรอสก็บอกว่า ให้มีนาไปด้วยได้ 
มีนาตื่นเต้นมากที่ได้ไปยังสถานที่ต้องห้ามของพวกเงือก
ระหว่างทาง ทั้งสองก็คุยกันประสาเพื่อนใหม่

เพื่อนๆของอีรอสทั้งห้าคนเห็นอีรอสพา 
ใครอีกคนมา ก็พากันแปลกใจ
อีรอสจึงเล่าทุกอย่างให้เพื่อนฟัง
มีนาเองก็ดีใจที่ได้เจอคนเป็นๆ 
นานแล้วที่เงือกกลุ่มนี้ไม่ได้เจอคนบนบก
มีนาก็เล่าประวัติของเงือกให้อีรอสและเพื่อนๆของอีรอสฟัง
ทั้งหมดฟังอย่างตั้งใจ
ด้วยเสียงของมีนาที่หวานนุ่ม ทำให้คนที่ฟังนั้นหลับ
ยกเว้นแต่อีรอสที่ไม่หลับ
มีนาและอีรอสจึงชวนกันคุยเรื่องราว
ที่ต่างคนต่างได้พบมา อย่างสนุกสนาน

เมืองบาดาลก้นสระน้ำ
พวกเงือกที่พากันแตกตื่นเข้าเมือง
ราชาชล สอบถามได้ความว่าลูกสาวตนถูกนกยักษ์จับไป
ราชาชลจึง รวมทหารเงือกขึ้นบกไปบุกประภาคารทะเล

แต่เมื่อ ราชาชลมาถึงหน้าทางเข้าประภาคาร
กลับเห็นมีนานั่งคุยกับชายหนุ่ม ก็แปลกใจ
จึงบอกให้ทหารเงือกอยู่ข้างนอก 
ตนเองก็เข้าไปร่วมวง
มีนาเองก็ตกใจที่เห็นบิดา 
มีนาจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ราชาชลฟัง
ราชาชลเข้าใจจึงเรื่องราวทั้งหมด

แต่ราชาชลกลับต่อว่ามีนาว่า
ออกมาจากสระจนถึงแดนต้องห้ามของเงือก
มีนาก็ตะคอกกลับไป 
ถ้าเป็นดินแดนต้องห้าม 
แล้วต้องห้ามเพราะอะไร
ราชาชลจำใจบอกเพราะ 
มีนาก็ได้ออกมาถึงแดนต้องห้ามแล้ว

ประภาคารทะเลนี้คือรังของนกยักษ์
มีนาอุทานอย่างตกใจ
ตอนนี้นกยักษ์นั้นถูกอาคมพ่อมด
ให้หลับใหลชั่วกาล

แต่มีคืนหนึ่ง
ปีศาจมาแก้มนต์พ่อมด
ให้นกยักษ์ฟื้นเมื่อตะวันโผล่ขอบฟ้า
พ่อมนตนนั้นจึงสละร่างเป็นเครื่องพันธนาการนกยักษ์ 
เพื่อรอวันสลายพร้อมกับนกยักษ์
และเมื่อใดนกยักษ์ได้ยินเสียงเงือก 
จากที่นอนหลับก็จะตื่นขี้น

ทันใดนั้น 
ก็มีเสียงโครมครามดังจากตัวประภาคารทะเล
แสงสีแดงฉาน ผุดออกมาตามรอยร้าว
ของดาดฟ้าบนประภาคาร
นกยักษ์คืนชีพอีกครั้ง 
แต่ยังคงสภาพเครื่องพันธนาการ
อีรอสกางปีกสีขาวผ่อง 
แผ่มนต์บริสุทธิ์ปกป้องเงือกให้พ้นจากนกยักษ์

นกยักษ์ยอมสละชีวิตของตนโดยท้าทายมนต์พ่อมด 
ด้วยการทำลายเครื่องพันธนาการ จนสลายไป
นกยักษ์ก็โผปีกบินทะยานขึ้นสู่ฟ้า 
ด้วยหวังว่าจะกินเงือกให้อิ่มก่อนตาย

อีรอสทะยานขึ้นไปบนฟ้า
ต่อสู้กับนกยักษ์จนเสียงดังสนั่นแผ่นดิน
ทั้ง ทิวากาญจน์ ศรา เภตรา ฟ้าระดา จันทรา ตื่นขึ้น

ร่างของนกยักษ์ค่อยๆสลาย 
เหมือนเครื่องพันธนาการ
นกยักษ์เห็นว่าคงจะอดอาหารมื้อสุดท้าย
 จึงใช้เล่ห์เพทุบาย จนอีรอสเสียที

นกยักษ์จึงกระโจนตัว 
หมายจะเอาทหารเงือกทั้งหมดเป็นอาหาร
แต่ราชาชล ออกมาขวางทหารของตนนอกเขตมนต์ของอีรอส
ราชาชลจึงเผลอพลาดท่าเสียที
และได้เป็นอาหารของนกยักษ์จนได้ก่อนกายสลาย
แต่นกยักษ์ตัวนี้ยังไม่อิ่มง่ายๆ 
เมื่อมองดูกองกำลังทหารเงือกก็กระโจนเข้าใส่ทหาร
แต่ตัวเองกลับโดนมนต์บริสุทธิ์ 
จนเร่งการสลายของร่างกายตัวเอง 
และกายของนกยักษ์ก็สลายไปในที่สุด

มีนาสูญเสียพ่อไป อีรอสจึงเข้ามาปลอบใจ
เพื่อนของอีรอสก็ปลอบมีนาเหมือนเป็นน้องสาว
มีนาขอบใจทุกคน ที่ดีต่อมีนา
แต่มีนาต้องไปทำหน้าที่แทนพ่อของตน 
ต้องไปดูแลเมืองบาดาลแทนพ่อ
มีนาได้ฝากกำไลเปลือกหอยให้อีรอสเป็นของที่ระลึก ต่างหน้า
ทั้งอีรอส และมีนา ต่างเศร้าที่จะไม่ได้เจอกัน
อีรอสก็ดึงขนสีขาวหนึ่งก้านให้มีนาเป็นที่ระลึกเช่นกัน

แล้วมีนาก็เดินจากอีรอสไป 
ทั้งที่เศร้า เรื่องพ่อที่ต้องเสียไป 
และเรื่องต้องจากเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกัน
อีรอสได้แต่มองตามมีนา จนมีนาเดินไปจนลับตา
เภตราได้แต่ปลอบใจอีรอสว่า วันหน้าค่อยเจอกันก็ได้

แสงตะวันโผล่ขอบฟ้าอีกครั้ง
อีรอสออกมานั่งที่โขดหินริมสระ 
มองดูกำไลเปลือกหอยของมีนา
เพื่อนๆอีรอสตามหาอีรอสจ้าละหวั่น 
จนมาเจอตัวอีรอสที่ริมสระ
และบอกว่าต้องออกเดินทางต่อแล้ว
อีรอสเดินออกมาจากริมสระ เดินตามเพื่อนๆอย่างคอตก

มีนาที่แอบดูอยู่ห่างๆ ก็ซึมเศร้าที่ต้องจากอีรอส

เมื่อเภตราเรียกเรือมา
ทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อไป
อีรอสได้แต่มองเกาะบุปผา และกำไลเปลือกหอย
มีนาก็ออกมาส่งอีรอสและเพื่อนๆให้ปลอดภัยจากเกาะนี้
อีรอสเองก็ซึมเศร้าจนเผลอหลับไป

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น